วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555


เขื่อนสามโตรก ก่อสร้างเมื่อปีพ.ศ. 2536 ด้วยทุนงบประมาณราว 22,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประกอบด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่ 32 เครื่อง เครื่องฯ ตัวแรกได้เปิดทำงานไปเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2546 และเครื่องฯ ทั้ง 26 ตัวที่ติดตั้งทั้งสองฟากฝั่งของเขื่อนฯ ก็ได้ทำงานครบทุกตัวไปตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2551 ขณะที่ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้า อีก 6 ตั้งติดตั้งไว้ใต้ดิน โดลล่าสุดเครื่องกำเนิดฯ ได้ทำงานครบทั้ง 32 เครื่องแล้ว (ภาพซินหวา)

เอเยนซี - เขื่อนสามโตรก (หรือ ซันซย่าต้าป้า -Three Gorges Dam) ซึ่งเป็นโครงการไฟฟ้าพลังน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก เริ่มทำงานเต็มประสิทธิภาพแล้ววันพุธที่ผ่านมา หลังเครื่องกำเนิดไฟฟ้าปฏิบัติงานครบทั้ง 32 เครื่อง
       
       สื่อจีนรายงาน (4 ก.ค.) ว่า เครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานน้ำ หมายเลข 27 ซึ่งเป็น 1 ใน 6 เครื่อง ที่อยู่ใต้ดิน ขณะที่อีก 26 เครื่องจะอยู่ภายในภูเขาทั้งสองฝั่งของเขื่อนฯ
       
       จาง เฉิง ผู้จัดการทั่วไปของ ไชน่าแยงซีพาวเวอร์ (China Yangtze Power Co. Ltd.) กล่าวว่า ด้วยการเพิ่มกำลังผลิตอีก 22.5 ล้านกิโลวัตต์ จากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าหมายเลข 27 นี้ จะทำให้เขื่อนสามโตรกนี้ เป็นเขื่อนที่มีกำลังผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก
       
       รายงานข่าวกล่าวว่า เครื่องกำเนิดไฟฟ้าตัวสุดท้ายที่เริ่มทำงานนี้ ผลิตและออกแบบโดย ไชน่าตงเฟิง อิเล็กทริก แมชีนเนอรี่ (China Dongfang Electric Machinery Co. Ltd.) และติดตั้งโดย ไชน่า เก้อโจวปา กรุ๊ป เมคานิคอล แอนด์ อิเล็กทริกคับ คอนสตรักชั่น (China Gezhouba Group Mechanical and Electrical Construction Co. Ltd.) โดยได้มีการติดตั้งเมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว และผ่านการทดสอบครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
       
       จาง เฉิงผิง ผู้อำนวยการ สำนักงานวิศวกรรมฯ กล่าวว่า "ระบบปฏิบัติการผลิตพลังไฟฟ้าจากเขื่อนฯ ซึ่งเต็มประสิทธิภาพนี้ ชี้ให้เห็นว่า เทคโนโลยีของจีน ทั้งในด้านการออกแบบ ผลิต ติดตั้ง และปรับปรุงอยู่ในระดับมาตรฐานแล้ว ซึ่งล้วนเป็นสิทธิบัตรแท้ๆ ของจีน"
       
       ทั้งนี้ เขื่อนสามโตรก ได้เริ่มก่อสร้างเมื่อปีพ.ศ. 2536 ด้วยทุนงบประมาณราว 22,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประกอบด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่ 32 เครื่อง ซึ่งเครื่องตัวแรกได้เปิดทำงานไปเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2546 และเครื่องฯ ทั้ง 26 ตัวที่ติดตั้งทั้งสองฟากฝั่งของเขื่อนฯ ก็ได้ทำงานครบทุกตัวไปตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2551
       


       หลี่ ผิงซื่อ ผู้อำนวยการเขื่อนสามโตรก กล่าวว่า "ขณะนี้เขื่อนฯ ได้ผลิตไฟฟ้าจำนวน 564,800 ล้านกิโลวัตต์/ ชั่วโมง โครงการนี้ ไม่เพียงแก้ปัญหาขาดแคลนพลังงานที่ใช้ในการพัฒนาประเทศ แต่ยังมีบทบาทสำคัญกับการพัฒนาเครื่องให้กำเนิดไฟฟ้าพลังงานสะอาดและลดภาวะโลกร้อน"
       
       เผยแผนย้ายคนจากบริเวณเขื่อนรอบใหม่ หลังย้ายแล้ว กว่า 1.3 ล้านคน 
       พร้อมกันนี้ สื่อจีนได้รายงานและสรุปสถานการณ์แผนการย้ายประชาชนออกจากพื้นที่บริเวณเขื่อนสามโตรก ระบุว่านับจากเริ่มเดินหน้าโครงการก่อสร้างในปี 2537 ประชาชนในบริเวณเขื่อนสามโตรก ถูกสั่งย้ายออกจากพื้นที่ไปแล้ว 1.3 ล้านคน
       


       นับจากปี 2552 เจ้าหน้าที่ได้ทดลองปล่อยน้ำสูงถึงระดับ 175 เมตร เป็นจำนวน 3 ครั้ง มาตรฐานทั่วไปของการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำสากลทั้งของประเทศจีนและต่างประเทศ ระบุเช่นเดียวกันว่า ภายในระยะ 3 ถึง ปีหลังการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำใหม่และปล่อยน้ำถึงระดับสูง จะเกิดตลิ่งพังและดินถล่มตามมาหลายครั้ง และต้องเคร่งครัดอย่างสุดฤทธิ์ในการป้องกันภัยพิบัติทางธรณีวิทยา ดังนั้น ขณะนี้เจ้าหน้าที่มีแผนย้ายประชาชนออกจากพื้นที่ อีกราว 100,000 คน
       




       เขื่อนสามโตรก เป็นเขื่อนใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในเมืองอี๋ชัง มณฑลหูเป่ย ติดกับมหานครฉงชิ่ง เฉพาะตัวเขื่อนมีความยาวร่วม 3 กิโลเมตร และอ่างเก็บน้ำมีความยาว 640 กิโลเมตร....

ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์



read more "เขื่อนสามโตรกเต็มที่ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าทำงานครบทุกตัวแล้ว"

สื่อนอกประโคมข่าว พบแมลงวันพันธุ์ใหม่ ตัวเล็กสุดในโลก ที่เมืองไทย ชี้มีพฤติกรรมชอบ ฆ่าตัดหัว

เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ผู้เชี่ยวชาญยืนยันค้นพบ “แมลงวันสายพันธุ์ใหม่” ของโลกในประเทศไทย ชี้เป็นแมลงวันที่มีขนาด “เล็กที่สุด” เท่าที่เคยมีการค้นพบบนโลกใบนี้
       
       รายงานข่าวของสื่อต่างประเทศหลายสำนักระบุว่า แมลงวันที่มีขนาดเล็กที่สุดของโลกได้ถูกค้นพบแล้วในประเทศไทย โดยขนาดของเจ้าแมลงวันสายพันธุ์ไทยนี้เล็กกว่าแมลงวันผลไม้ทั่วไปถึง 5 เท่า และมีขนาดเล็กกว่าเม็ดเกลือหรือพริกไทยเสียอีก นอกจากนั้น ผู้เชี่ยวชาญยังระบุว่า ขนาดของแมลงวันชนิดนี้มีขนาดเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้นของแมลงดูดเลือดจำพวก “ริ้นน้ำเค็ม”
       
       ไบรอัน บราวน์ ผู้เชี่ยวชาญจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติในลอสแองเจลิส เคาน์ตี สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ยืนยันการค้นพบแมลงวัน “ซูเปอร์จิ๋ว” สายพันธุ์ดังกล่าว ออกมาเปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (2) โดยระบุว่า เจ้าแมลงวันที่ค้นพบในประเทศไทยชนิดนี้มีขนาดเล็กมากจนแทบจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แม้จะเอามันไปวางบนแผ่นสไลด์ของกล้องจุลทรรศน์ก็ตาม




       
       “แมลงวันที่พบตามบ้านทั่วไปจะกลายเป็นไดโนเสาร์ก็อดซิลลาในทันทีเมื่อเทียบกับขนาดของแมลงวันตัวน้อยชนิดนี้” บราวน์กล่าวเปรียบเทียบ
       
       ข้อมูลจากสื่อต่างประเทศระบุว่า แมลงวันตัวที่ถูกค้นพบนั้นเป็นเพศเมีย โดยถูกพบในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ในเขตจังหวัดเพชรบุรีและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ทางตะวันตกของประเทศ โดยมีความเป็นไปได้ที่แมลงวันชนิดนี้อาจดำรงชีพอยู่ได้โดยการ “ฆ่าตัดหัว” สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กชนิดอื่น เช่น มด แล้วจึงเข้าไปอาศัยและวางไข่ภายในร่างไร้วิญญาณเหล่านั้น
       
อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานถูกระบุว่าเป็นสถานที่ค้นพบ
       ทั้งนี้ มีรายงานว่ารายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับการค้นพบแมลงวันขนาดเล็กที่สุดของโลกบนแผ่นดินไทยในครั้งนี้ จะถูกตีพิมพ์เผยแพร่ผ่านทางวารสารชื่อดัง The Entomological Society of America (ESA) ของสหรัฐฯ ในเดือนนี้...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์



read more "สื่อนอกประโคมข่าว พบแมลงวันพันธุ์ใหม่ ตัวเล็กสุดในโลก ที่เมืองไทย"

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555





เจริญทอง เกียรติบ้านช่อง เป็นชื่อที่เจริญ ชูมณี หรือ ครูเป็ด ใช้เป็นชื่อสมัยชกมวยไทยอาชีพที่เวทีมวยลุมพินี เริ่มต้นชกมวยตั้งแต่อายุ 13-14 ปี ที่บ้านเกิด อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ชกที่บ้านเกิดชนะ 20 กว่าครั้ง ก็ย้ายมาต่อยมวยต่อที่กรุงเทพฯ พร้อมกับมาเรียนต่อในระดับมัธยมปลาย สังกัดค่ายเกียรติบ้านช่อง ของใหม่ เมืองพร ซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกัน
   ต่อยมวยไปเรียนไปด้วย ได้เป็นแชมป์มวยไทยจากเวทีลุมพินีครั้งแรกตั้งแต่อยู่มัธยมศึกษาปีที่ 5 สร้างชื่อเสียงให้ค่ายเกียรติบ้านช่อง จากเดิมมีนักมวยในสังกัด 2 คน จากนั้นมามวยสายใต้ก็ป้อนให้กับค่ายของใหม่ เมืองพร กลายเป็นค่ายมวยใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ 
   “เกียรติบ้านช่อง เป็นชื่อที่ตั้งเป็นเกียรติกับหมู่บ้านที่ผมอยู่ชื่อบ้านช่องด่านเพราะอาจจะมีผมเป็นนักมวยคนแรกและอาจจะคนเดียวจากหมู่บ้าน อยู่กับพี่ใหม่ตั้งแต่ยังไม่มีค่ายของตัวเองต้องไปซ้อมที่ค่ายคนอื่น จนมีมวยเยอะขึ้น นักมวยมีค่าตัวสูงขึ้น จนพี่ใหม่ซื้อบ้านและทำค่ายมวยของตัวเองจนมีชื่อเสียงมีคนรู้จักเยอะ”
   ครูเป็ดเป็นนักมวยรุ่นแรกๆ ที่เริ่มสร้างกระแสนักมวยปริญญา หลังจากจบ ม.6 เก็บเกี่ยวประสบการณ์มวยทั้งไทยและสากลจนโชกโชน ก็ตัดสินใจเลิกชก เข้าเรียนต่อที่คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม  
   “ชกมวยไปเรียนไป รุ่นผมเป็นรุ่นบุกเบิกที่ทำให้นักมวยได้รับการศึกษา เพราะส่วนใหญ่นักมวยไม่ได้เรียน ที่ผมเรียนก็เพราะรุ่นพี่ วันเผด็จศึก สมหมาย ซึ่งปัจจุบันเป็นทหารอากาศและเป็นโปรโมเตอร์ด้วย แนะนำว่าต้องเรียนไปด้วยแล้วแนะนำให้รู้จักอาจารย์ที่จันทรเกษม ซึ่งเอาใจใส่ด้านมวยเหมือนกัน”
   มรภ.จันทรเกษม ยุคปี 2530 จึงกลายเป็นแหล่งรวมนักมวยชื่อดัง เพราะมีทั้งรุ่นครูเป็ดซึ่งร่วมรุ่นกับ อาคม เฉ่งไล้ นักมวยเหรียญทองแดงโอลิมปิก ต่อมามี สมรักษ์ คำสิงห์ วิชัย ราชานนท์ นักมวยซึ่งเป็นนักศึกษารุ่นน้อง 
   “ถ้ามวยไทย ยุคผมดังสุด ช่วงนั้นปี 2529-2530 เพราะมวยสากลยังไม่ค่อยบูม สู้มวยไทยไม่ได้ แต่มหาวิทยาลัยส่งไปแข่งมีมวยสากลอย่างเดียว จากนั้นมามหาวิทยาลัยต่างๆ ก็เริ่มปั้นนักมวยเพราะทำชื่อเสียงให้มหาวิทยาลัยได้ ทุกมหาวิทยาลัยอยากได้ตัวนักมวย อนาคตถ้าไปทีมชาติทั้งนักเรียนและมหาวิทยาลัยก็ได้ชื่อเสียง”
   หลังเรียนจบ ครูเป็ดไปเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต รับหน้าที่สอนและทำมวยให้มหาวิทยาลัยจนได้เหรียญ แต่อยู่ได้ปีเดียวก็ลาออก 
   “คิดว่าทำงานกินเงินเดือนคงไม่ได้ แล้วตอนนั้นผมก็เลิกชกแล้วเพราะอายุมากสู้เด็กรุ่นหลังไม่ได้ต่อยไปก็เสียชื่อ จากเดิมต่อยมวยไทยทีได้แสนกว่าบาท เคยไปเป็นทีมชาติต่อยให้กองทัพภาคสี่ได้ยศทหารจากสิบตรี ตอนนี้ก็เป็นสิบเอก ไปซีเกมส์ก็สู้มวยสมัครเล่นอาชีพไม่ได้ เขาเก่ง แต่ผมได้แค่มวยไทยเคยได้แค่เหรียญทองแดง อีกอย่างเป็นทีมชาติสมัยนั้นได้เบี้ยเลี้ยงวันละ 300 ผมว่าไม่เหมาะสมไม่เอาดีกว่า”
   ออกจากเป็นอาจารย์ กลับมาเป็นครูมวยที่โรงเรียนสอนมวยไทยของ พลตรีธันวาคม ทิพยจันทร์ เจ้าของนิตยสารภาพยนตร์บันเทิง และเจ้าของนามปากกา หมึกดำ แถวพระราม 3 ติดกับโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง ได้เรียนรู้ในโรงเรียนมวยไทยแห่งนี้ประมาณหนึ่งปี เก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านการสอน หลักสูตรซึ่งต่างจากหลักสูตรในมหาวิทยาลัย  
   แต่ก็ยังไม่ได้นำออกมาใช้งาน และเดินทางหาประสบการณ์เพิ่มไกลไปถึงสหรัฐอเมริกา เมื่อสามารถ พยัคฆ์อรุณ นักมวยรุ่นพี่แนะนำให้ลองไปดูโรงเรียนสอนมวยของเพื่อนที่อยู่เท็กซัส อเมริกา 
   “หลังจากเลิกทำกับนายพลฯ ผมไปอยู่อเมริกาหนึ่งปี เพราะอยากไปศึกษาหาความคิดว่าหลักสูตรการเรียนการสอนเขาเป็นอย่างไร อยากลองเอามาใช้ จนในที่สุดก็เอามาปรับใช้กับโรงเรียนมวยไทยเจริญทอง” 
   สิ่งที่เป็นในโรงเรียนมวยไทยแห่งนี้ จึงกลั่นกรองมาจากประสบการณ์และประยุกต์ให้เป็นรูปแบบการสอนมวยไทยที่ครูเป็ดหวังว่าจะตอบสนองผู้เรียนได้ตรงตามความต้องการ ที่ได้ทั้งเอกลักษณ์และความครบเครื่องของศิลปะป้องกันตัวแบบไทยแต่ไม่ใช่ศิลปะหรือวิทยาการที่ยากหรือเชยเกินกว่าจะเข้าถึง...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.positioningmag.com  : Added on: 25/5/2555



read more "เจริญทอง เกียรติบ้านช่อง สมองของมวยไทยยุคใหม่"

โยคะ หรือ พิลาทิส อาจต้องหลบไป เพราะเวลานี้มวยไทยได้กลายเป็นกีฬายอดฮิตของสาวๆ ที่หันมาฟิตหุ่นให้ “ฟิตแอนด์เฟิร์ม” ด้วยการออกหมัดฮุกซ้ายขวา ตีเข่า เตะแบบไม่ต้องแคร์ใคร เพราะประโยชน์แบบทูอินวัน ลดน้ำหนัก และศิลปะป้องกันตัว 


 เชียร์ ฑิฆัมพร “มวยไทย...ใช่เลย”


เชียร์ ฑิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์ ดาราสาวชื่อดัง สังกัดช่อง 7 ที่มีผลงานละครทีวี งานพิธีกรรายการต่างๆ ยังเป็นดีเจคลื่น 103 likefm ถึงแม้งานแต่ละวันจะยุ่งแค่ไหน เชียร์ก็มักจะหาเวลาออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง หุ่นฟิตแอนด์เฟิร์มอยู่เสมอ และหนึ่งในกีฬาโปรดของเธอเวลานี้ คือ มวยไทย 


“ตอนแรกๆ ก็ไม่กล้ามา เพราะคิดว่าค่ายมวยจะต้องมีแต่ผู้ชาย พอดีกันต์ (กันตถาวร) เขาชกประจำที่ค่ายนี้เขาก็แนะนำว่า ผู้หญิงมากันเยอะ อย่างพี่ๆ นางแบบ โย – ยศวดี มาริสา เข็ม-รุจิรา ช่วยเกื้อ และคนอื่นๆ เขาก็มาออกกำลังกายกัน ก็เลยลองมาดูสถานที่ บังเอิญมาเจอเพื่อนสมัยเรียนด้วย เจอแต่คนรู้จัก บรรยากาศก็สบายๆ สัปดาห์ถัดไปเลย ตอนนี้ฝึกมาได้ครึ่งปีแล้ว ” 


ตั้งแต่นั้นมา เชียร์เลยกลายมาเป็นสมาชิกประจำของค่ายมวยไทยเจริญทอง เกียรติบ้านช่อง ถึงคิวงานจะแน่นแค่ไหน และบ้านก็อยู่ไกลถึงฝั่งธนฯ แต่เธอจะต้องหาเวลามาประจำทุกสัปดาห์ หรือถ้ามีเวลามากหน่อยจะมาประจำแทบจะวันเว้นวัน 


“ปกติจะเข้าฟิตเนสออกกำลังกายประจำอยู่แล้ว พอมาลองต่อยสองยกแรกแทบจะเป็นลม เราเคยคิดว่าเราแข็งแรง แต่พอมาฝึกมวยรู้เลยว่าแล้วเรายังแข็งแรงไม่ทุกส่วน อย่างมวยไทยพอฝึกไปแล้ว ทำให้ได้กล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย ครูฝึกเขาจะเน้นให้เราได้ออกกำลังด้วยท่ามวยไทยที่ถูกต้อง ออกหมัดแบบไหน เตะแบบไหน สนุก ไม่เบื่อเหมือนออกด้วยเครื่อง ขณะชกมวยเวลาจะผ่านไปเร็วมาก เราได้เฮฮาตลอด ครูที่ค่ายก็เป็นกันเอง ทุกคนที่มาเรียนก็รู้จักกันเป็นเพื่อนหมด” 


เชียร์มองว่า ทุกกีฬามีข้อดีต่างกัน แต่สำหรับมวยไทย นอกจากเป็นกีฬาเรียกเหงื่อทำให้ร่างกายฟิตแอนด์เฟิร์ม การฝึกมวยไทยที่ต้องรียนรู้ชั้นเชิงการเคลื่อนไหว การออกหมัด ศอก เข่า เตะ ทั้งรับและรุก ยังทำให้เธอได้เรื่องของสัจธรรมเล็กๆ นำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันและทำงาน ได้ทั้งเรื่องของสมาธิ ความอดทนแล้วจะนำไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งใจไว้ได้ไม่ว่าจะเป็นการชกมวยหรือการใช้ชีวิต  


“เวลาครูฝึกเขาชกมา ถ้าเราหลบไม่ทันก็เป็นเพราะความประมาท พอเรามีมีสมาธิมากขึ้น ทำให้ระวังตัวไว้มากขึ้น รู้เลยว่า ถ้ามันมีสมาธิจริงๆ ไม่ว่าสภาพภายนอกจะวุ่นวายแค่ไหน เราจะนิ่งได้ หรืออย่างเรื่องขับรถ บางทีมีงานต่อก็ต้องรีบ ทำให้เรามีสมาธิระมัดระวังมากขึ้น”


เชียร์มองว่า นี่คือเสน่ห์ของมวยไทยที่หาไม่ได้ในกีฬาชนิดอื่น หากเปรียบอย่าง “บอดี้คอมแบท” จะได้เรื่องของการออกกำลังกาย แต่มวยไทยจะได้ทั้งออกกำลังกลายได้ชีวิตชีวา ได้เรื่องของสังคม คนที่มาเรียนมาจากอาชีพหลากหลาย มีทั้ง แอร์โฮสเตส อาจารย์ นักธุรกิจ ชาวต่างชาติ ทำให้เธอได้เห็นมุมมองใหม่ๆ  


“อย่างมีฝรั่งเขามาเรียนชกมวยไทย มาหลายครั้งมาก พอได้คุยก็รู้ว่าเขาติดใจมวยไทย บางคนมาเพื่อเรียนเมืองไทยอย่างเดียว เราฟังแล้วก็ภูมิใจ ยิ่งมาได้สัมผัสเอง ก็มีคำตอบเลยว่า  มวยไทยจะอยู่ได้อีกนาน ขนาดคนต่างชาติเขายังสนใจขนาดนี้ เชียร์มั่นใจเลยว่าไม่ใช่แค่กระแสนิยมมาแค่แป๊บเดียว แต่จะอยู่ได้นานตลอดไป”


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.positioningmag.com : Added on: 25/5/2555



read more "Beautiful Fighting เชียร์ ฑิฆัมพร มวยไทย...ใช่เลย"


หากเอ่ยถึงชื่อ “แฟร์เท็กซ์” ค่ายมวยไทยในตำนานของ บรรจง บุษราคัมวงษ์ หรือคนทั่วไปที่มักเรียกกันจนคุ้นหูว่า “เสี่ยบรรจง” ย่อมเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงมวยไทย ซึ่งเขาก่อตั้งธุรกิจค่ายมวยไทยมาตั้งแต่ปี 2513 ด้วยการเริ่มต้นเปิดค่ายมวยย่านสวนพลูควบคู่กับทำธุรกิจเสื้อผ้าซึ่งเป็นธุรกิจเดิมของครอบครัวไปด้วย 
   “ผมทำค่ายมวยมาตั้งแต่ 40 ปีก่อน ทำพร้อมกับธุรกิจเสื้อผ้า แต่ตอนนั้นไม่ได้ทำเป็นธุรกิจจริงจังแต่ทำเพราะความชอบส่วนตัว” เสี่ยบรรจงเล่า และบอกว่าการทำค่ายมวยที่ผ่านมานั้นพบแต่ภาวะขาดทุนมาตลอด แต่ด้วยความชอบจึงไม่คิดเลิกล้ม จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนเรื่องธุรกิจเสื้อผ้าส่งออกซึ่งเป็นธุรกิจหลักเนื่องจากพบปัญหาเรื่องการค้าเสรีในปี 2548 ที่ส่งผลให้มีคู่แข่งจำนวนมากขึ้น ทำให้ต้องเปลี่ยนมารุกเรื่องค่ายมวยอย่างจริงจังพร้อมยกระดับให้มีมาตรฐานการส่งออกเพื่อให้ “มวยไทย” เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกเช่นเดียวกับกังฟูของจีน และคาราเต้กับยูโดของญี่ปุ่น
   ในปี 2549 เขาใช้งบถึง 250 ล้านบาท เปิดตัวแฟร์เท็กซ์ สปอร์ตคลับ แอนด์ โฮเต็ล บนพื้นที่ 8 ไร่ในตัวเมืองพัทยา มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ 60% และคนไทย 40% ที่มีรายได้สูงและชื่นชอบการออกกำลังกาย เพราะมีทั้งสปอร์ตคลับและเวทีมวยไว้รองรับบริการอย่างครบวงจร
   และจากการส่งลูกๆ ไปเรียนที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกาในปี 2534 ทำให้เขาตัดสินใจเปิดค่ายมวยไทยที่นั่นเป็นสาขาแรก “ตอนนั้นยังไม่เคยมีใครทำค่ายมวยไทยในต่างประเทศ เราจึงโดดเด่นกว่าคนอื่น” ซึ่งเขามองว่านี่คือการสร้างแบรนด์ของแฟร์เท็กซ์ที่ทำให้ต่างชาติรู้จัก รวมทั้งจ้างนักมวยเก่าฝีมือดีมาฝึกสอน พร้อมกับส่งนักมวยไปแข่งตามเวทีต่างๆ โดยใช้นามสกุล “แฟร์เท็กซ์” ที่สามารถแข่งชนะได้เกือบทุกสังเวียน จึงส่งผลให้เกิดการรู้จักแบบปากต่อปาก
   ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ค่ายมวยแฟร์เท็กซ์ใน San Francisco มีนักมวยต่างชาติเพิ่มขึ้นจาก 20 ถึง 30 คนมาเป็นหลักพันคนในปัจจุบัน และเขาได้ขยายค่ายมวยไปถึง 3 สาขาที่เมืองนี้ ภายใต้การดูแลของลูกสาวและลูกเขยที่อาศัยอยู่ที่นั่น ซึ่งในวันนี้ “แฟร์เท็กซ์” มีค่ายมวยถึง 30 สาขาในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ จีน ฝรั่งเศส แคนาดา ฮอลแลนด์ โดยมีบรรดาเพื่อนสนิทของเขาที่อยู่ในประเทศเหล่านั้นเป็นผู้ช่วยดูแลกิจการ ส่วนค่ายมวยในไทยนั้น นอกจากที่พัทยาแล้วเขายังเปิดอีกสาขาที่อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ด้วยเช่นกัน
   แม้ว่าค่ายมวยไทยจะช่วยสร้างแบรนด์แฟร์เท็กซ์ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แต่เสื้อผ้าและอุปกรณ์มวยกลับเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับแฟร์เท็กซ์มากถึง 10 ล้านบาทต่อเดือน ขณะที่ค่ายมวยมีรายได้เฉลี่ยเพียงเดือนละ 1 ล้านบาทเท่านั้น “คิดเป็นรายได้จากเสื้อผ้า 70% และค่ายมวย 30%” บรรจงบอก ซึ่งการทำตลาดเสื้อผ้าและอุปกรณ์มวยนี้เขาจำหน่ายเพื่อการส่งออกเท่านั้น เพราะมีโอกาสมากกว่าและการแข่งขันน้อยเมื่อเทียบกับในประเทศที่มีคู่แข่งเป็นจำนวนมาก โดยใช้ประสบการณ์เดิมที่เคยทำตลาดเสื้อผ้าแฟชั่นส่งออกมาก่อนจึงสามารถทำตลาดนี้ได้ง่ายขึ้น 
  ขณะเดียวกัน บรรจงก็ยอมรับว่าการที่วันนี้มวยไทยได้รับความนิยมสูงจนกลายเป็น ”แฟชั่น” ทำให้ต้องแข่งขันกับค่ายมวยอื่นๆ ในประเทศที่ใช้กลยุทธ์ราคาที่ต่ำกว่าแฟร์เท็กซ์มาเป็นตัวดึงดูดลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเขาวาง Positioning ของแฟร์เท็กซ์ให้เป็นค่ายมวยไทยระดับพรีเมียมที่ได้รับการฝึกสอนจากเทรนเนอร์มืออาชีพอย่างใกล้ชิดจึงทำให้มีอัตราค่าฝึกสอนค่อนข้างสูงกว่ารายอื่น ดังนั้นกลุ่มเป้าหมายที่มาเรียนจึงต้องมีรายได้ดีตามไปด้วยเช่นกัน
   สำหรับอนาคตนั้น เขาต้องการให้แฟร์เท็กซ์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและยอมรับไปทั่วโลกมากกว่าวันนี้ แต่ด้วยวัยกว่า 60 ปีของเขา จึงมองหานักลงทุนจากต่างชาติที่สนใจแฟร์เท็กซ์มาร่วมลงทุนเพื่อสานต่อความต้องการในบั้นปลายนี้ ซึ่งเขามองว่าแฟร์เท็กซ์ยังสามารถโตขึ้นได้อีก 10 เท่า หรือคิดเป็นรายได้ถึง 100 ล้านบาทต่อเดือนได้ไม่ยาก...

ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.positioningmag.com : Added on: 25/5/2555


read more "มวยไทยในต่างแดน เปิดตำนาน แฟร์แท็กซ์"


- เป็นการออกกำลังได้ทั้งกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย และเรื่องของหัวใจ


- ให้ความรู้สึกสนุกกว่าการออกกำลังด้วยเครื่องเล่นในฟิตเนส


- มีการเปิดโรงเรียนสอนมวยไทยมากขึ้น จากเจ้าของค่ายมวยที่เป็นอดีตแชมป์มวยที่มีประสบการณ์มาก่อน โดยช่วงหลังหันมาสอนเพื่อการออกกำลังกาย โดยออกแบบตกแต่งสถานที่ให้เหมาะสมในเรื่องความสะอาด เสียงเพลง ต่างจากค่ายมวยทั่วไป 


- ฟิตเนสต่างๆ หันมาเปิดคอร์สสอนมวยไทยโดยประยุกต์อยู่ในรูปแบบออกกำลังกาย แต่ยังคงยึดหลักการเคลื่อนไหว และการออกหมัดตามแนวทางของมวยไทย 


- ระยะหลังทำเลที่ตั้งโรงเรียนสอนมวยไทยจะอยู่ใจกลางเมือง ทำให้ไปมาสะดวก บางแห่งอยู่ใกล้รถไฟฟ้า 


- ดารา นักแสดง นักร้อง นางแบบ นายแบบ หันมาเลือกออกกำลังด้วยมวยไทย ทำให้คนทั่วไป หันมาเลือกมวยไทยออกกำลังกายเพิ่มขึ้น เพราะมองว่าเป็นกีฬาอินเทรนด์ ไม่ใช่เรื่องของการต่อสู้ หรือเป็นกีฬาผู้ชายเพียงอย่างเดียว


- ผู้หญิงหันมาฝึกมากขึ้น เพราะได้ทั้งเรื่องการออกกำลังกาย และยังได้เรื่องของการป้องกันตัวไปด้วย 


- กระแสไทยไฟท์ และบัวขาว ป.ประมุข ทำให้คนหันมาสนใจมวยไทยมากขึ้น 


- กระแสนิยมความเป็นไทยในช่วงหลายปีมานี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนหันมาหากีฬาที่เน้นความเป็นไทย 


เมื่อคนหันมานิยมมวยไทยมากขึ้นจนกลายเป็นไลฟ์สไตล์ ทำให้สื่อต่างๆ หันมาสนใจทำสกู๊ปเกี่ยวกับมวยไทย รวมถึงมิวสิกวิดีโอ การถ่ายแฟชั่นของนิตยสาร ได้นำกีฬามวยไทยเป็นส่วนหนึ่งในฉาก ทำให้คนทั่วรู้สึกใกล้ชิดกับมวยไทยมากยิ่งขึ้น... 


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.positioningmag.com : Added on: 25/5/2555



read more "ทำไมมวยไทยถึงอินเทรนด์"


   มวยไชยาถือเป็นอีกหนึ่งแขนงของศิลปะมวยไทย กำลัง “เทรนดี้” ไม่แพ้กัน เสน่ห์ของมวยไชยา คือ ลูกไม้ ที่แนวทางการป้องกันตัวที่กลายเป็นการรุกคู่ต่อสู้ไปในตัว เรียกได้ว่ามีทั้งรุกและรับในเวลาเดียวกัน ส่วนมวยทั่วไปเมื่อถึงลูกไม้ที่ใช้รับก็รับเน้นการป้องกันตัวอย่างเดียว แต่ข้อเด่นก็คือ เวลารุกก็จะรุนแรงหนักหน่วงกว่ามวยไชยา ปัจจุบันมวยไชยามีค่ายที่เปิดสอนมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ ค่าย "บ้านช่างไทย" ของ ครูเล็ก-กฤดากร สดประเสิรฐ ที่เน้นการฝึกสอนมวยไชยาแบบดั้งเดิม ที่นอกจากมีค่ายมวยแล้ว ยังมีสื่อในมือทั้งทีวี เว็บไซต์ และ App ไว้รองรับคนรุ่นใหม่  


"มวยไชายา" ฟื้นอีกครั้งด้วยสื่อ


   ปัจจุบัน "บ้านช่างไทย" มีคนดังหลายคนเข้ามาร่ำเรียนศิลปะมวยไชยาจากที่นี่ เช่น เป้-อารักษ์, ตั๊ก-นภัสสกร, มาริโอ่ เมาเร่อ, อนันดา เอเวอริ่งแฮม หรือถ้าทางฝั่งดาราผู้หญิงก็มี นีน่า-กุลนัดดา ปัจฉิมสวัสดิ์ รวมแล้วครูเล็กมีลูกศิษย์ทั้งสิ้นหลักพันคน ตลอดระยะเวลาที่ครูเล็กเปิดสอนมวยมาแล้ว 16 ปี แม้แต่ดารา นักร้องวัยรุ่น ที่เริ่มต้นจากเรียนมวยไทยก็หันมาสนใจ “ต่อยอด” มาเรียนมวยไชยา เพราะมองว่า มีลูกเล่นในการชกเพิ่มขึ้น 
   จุดเปลี่ยนที่ทำให้ชื่อของ "บ้านช่างไทย" เป็นที่รู้จักมาจากรายการโทรทัศน์ ไอทีวี วาไรตี้ เมื่อหลายปีก่อน และพบว่า นอกจากทักษะด้านศิลปะของครูเล็ก ซึ่งเป็นวิชาชีพที่ครูเล็กใช้ทำมาหากินในตอนนั้นยังพบว่า ครูเล็ก มีทักษะมวยไชยาที่ร่ำเรียนมาถึง 27 ปี เรื่องราวของครูเล็ก มวยไชยา จึงถูกนำเสนอ แล้วทำให้ "บ้านช่างไทย" กลายเป็นสถานที่สอนมวยไชยานับตั้งแต่นั้น 
   ดูหมือนว่าทุกวันนี้จะสอนมวยมากกว่าศิลปะตามความตั้งใจเดิม ต่อมาก็มีรายการบันเทิงอีกหลายแห่งที่เข้ามานำเสนอเรื่องราวของมวยไชยา จนกระทั่งครูเล็กเองได้โอกาสทำรายการ "เปิดกรุมวยไชยา" ทุกวันอาทิตย์ ช่อง 11 จึงถือเป็นการประชาสัมพันธ์มวยแขนงนี้อย่างต่อเนื่องจากผู้รู้จริง และเป็นรายการที่ทำให้มวยไชยาเป็นที่รู้จักอย่างเต็มตัวในวงกว้าง อีกสื่อที่ทำให้ชื่อของมวยไชยาเป็นที่รู้จัก็คือ ภาพยนตร์เรื่อง "ไชยา" ที่ออกฉายในปี 2550 แล้วเล่าเรื่องมวยแขนงนี้แบบเต็มๆ ซึ่งครั้งนั้นครูเล็กเป็นที่ปรึกษาและหนึ่งในคนที่ออกแบบคิวบู๊ให้กับหนังเรื่องนี้   




สื่อสารกับคนรุ่นใหม่ มวยก็ออนไลน์ได้


นอกเหนือจากสื่อโทรทัศน์ ที่ทำให้ชื่อของมวยไชยาเป็นที่รู้จักมากขึ้นแล้ว ช่องทางสื่อสารต่อจากการดูรายการเบื้องต้นทางโทรทัศน์ ต่อมาคือการเสิร์ชหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ดังนั้นค่ายมวยแห่งนี้จึงต้องปรับตัวให้ทันสมัยด้วยช่องทางการสื่อสารเว็บไซต์ www.samkhum.com เนื้อหาข้างในอธิบายหลักการพื้นฐานของมวยไชยา ซึ่งครูเล็กจะเขียนบทความ และตอบคำถามด้วยตัวเอง ทำให้ตอนนี้มีผู้ที่สนใจเข้ามาอ่านหรือมวยไชยาในเว็บไซต์ของบ้านช่างไทยประมาณ 50,000 คน 
   สิ่งที่โชว์ให้เห็นว่าค่ายมวยแห่งนี้อินเทรนด์จริงๆ คงจะเป็นแอพพลิเคชั่น Muay Chaiya ที่ใส่ลูกไม้มวยไชยา 20 กว่าท่า ให้โหลดบน App Store สนนราคาอยู่ที่ 2.99 เหรียญ ซึ่งขณะนี้ทำเงินแล้ว ประมาณ 8,000-10,000 บาท ในระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งเจ้าของแอพฯ ไมได้หวังสร้างรายได้โดยตรง แต่เน้นที่การเผยแพร่มวยไชยาให้เป็นที่รู้จักกว้างขวาง กับอีกช่องทางที่ได้รับความนิยมผ่าน E-Coupon ทั้ง Ensogo และ Groupon ซึ่งราคาส่วนลดต่ำกว่าราคาเรียนจริงกว่าครึ่ง แต่ก็หวังให้เป็นที่รู้จักและทำให้ผู้เรียนติดใจแล้วกลับมาเรียนต่อเนื่อง  
   กลุ่มผู้มาเรียนมวยไชยาที่นี่ มีตั้งแต่เด็ก 4 ขวบ ไปจนถึงคนสูงอายุ 60 ปี ขอแค่มีกำลังยกแข้งยกขาได้ ก็ถือว่ามีคุณสมบัติของผู้เรียนมวยไชยาแล้ว และปัจจุบันลูกศิษย์ของครูเล็กกว่า 40% ในแต่ละคลาส เป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นผลมาจากการที่สังคมในปัจจุบันไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ทำให้ผู้หญิงหันมาเรียนมวยไชยามากขึ้น นัยตั้งแต่มีผู้หญิงมาเรียนคนแรกเมื่อปี 2540-2541 ครูเล็กบอกว่ากระแสที่ผู้หญิงหันมาเรียนมวยไชยาไม่ใช่เพิ่งมี แต่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป 
   ด้านทำเล "บ้านช่างไทย" ตั้งอยู่ที่ย่านเอกมัย ครูเล็กกล่าวว่าเพื่อให้เดินทางได้สะดวก แต่ไม่จำกัดว่าต้องเป็นไฮโซมีเงินเท่านั้นที่มาเรียนได้ ด้วยอัตราค่าเล่าเรียนของบ้านช่างไทย อยู่ที่คอร์สละ 800 บาท ต่อการเรียน 4 ครั้ง โดยการสมัครครั้งแรกต้องลงเรียน 3 คอร์ส หรือสนนราคาอยู่ที่ 2,400 บาท ช่วงเวลาเรียน มีช่วงเวลาให้เลือกในช่วงเย็นของทุกวัน สำหรับเสาร์-อาทิตย์ก้จะมีรอบบ่ายให้เลือก แต่ละรอบจะมีผู้เรียนประมาณ 20 คน หรือจะเลือกคอร์สพิเศษที่ค่าเล่าเรียน 10,000 บาทต่อการเรียน 12 ครั้งแบบเลือกเวลาได้เอง 
   ตอนนี้ที่บ้านช่างไทยมีครูอยู่ประมาณ 7-8 คน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นลูกศิษย์ของครูเล็กที่ผูกพันจนบางคนก็อาศัยอยู่กินที่ค่ายแห่งนี้เลย หรือบางคนก็มีงานประจำอยู่แล้วแต่ก็กลับมาสอนมวย นอกจากนี้ยังมีชาวต่างชาติอีก 2 คน ที่เรียนมานานจนอยู่ที่ค่ายทำงานเป็นครูสอนมวย หรือบางครั้งครูมวยของที่นี่ก็ขึ้นชกแข่งขันด้วย สำหรับระยะเวลาหรือว่าจำนวนครั้งที่เรียนจนกระทั่งเป็นมวย ครูเล็กบอกว่า ขึ้นอยู่กับทักษะของแต่ละคน ไม่สามารถบอกได้ว่าเรียนกี่ครั้งแล้วถึงจะเป็น 
   ความโด่งดังของมวยไชยา ทำให้มีชาวต่างชาติเคยขอซื้อวิชาจากครูเล็ก โดยให้ครูเปิดโดรงเรียนสอนที่ประเทศจีนแลกกับเงินประมาณ 10 ล้านบาท แต่เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ครูเล็กเล่าให้ฟังว่าอยากให้ชีวิตเพื่อถ่ายทอดศิลปะแขนงนี้ให้คนไทยดีกว่า ส่วนชาวต่างชาติถ้าอยกามาเรียนด้วยก็ไม่ขัดข้อง แต่ต้องมาเรียนที่เมืองไทยเท่านั้น  



ประวัติมวยไชยา 


แต่ละพื้นที่ของประเทศไทยมักมีมวยที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง สำหรับมวยไชยา มีจุดกำเนิดที่สืบย้อนหลังได้จาก “พ่อท่านมา” พระผู้ใหญ่ที่ไปจำพรรษอยู่ที่วัดทุ่งจับช้าง อำเภอไชยา และได้สอนผู้คนแถวนั้นให้เป็นมวย รวมทั้งสอนทหารในสังกัดของเจ้าเมืองไชยา พระยาวจีสัตยารักษ์ (ขำ ศรียาภัย) ในสมัยรัชกาลที่ 5 จนกลายเป็นที่แพร่หลาย แต่เหตุการณ์ที่ทำให้มวยไชยาเป็นที่รู้จักมากที่สุด ก็ตอนที่ นายปล่อง จำนงทอง ชกหน้าพระที่นั่งแล้วชนะ จนได้รับแต่งตั้งให้เป็น "หมื่นมวยมีชื่อ" 

บ้านช่างไทย ศิลปะบนกำปั้น


   บ้านช่างไทย เป็นค่ายมวยที่นอกจากจะสอนมวยแล้วยังเปิดสอนวาดสีน้ำกับวาดลายไทย เพราะ ครูเล็ก-กฤดากร สดประเสิรฐ เป็นผู้สืบทอดของตระกูล หมื่นช่างชำนาญกิจ อีกทั้งยังจบการศึกษาจากโรงเรียนช่างศิลป์ 
   ครูเล็กเริ่มต้นหัดมวยตั้งแต่วัยเด็กๆ ช่วงอาศัยอยู่แถวๆ สี่แยกบ้านแขก แล้วโดนจิ๊กโก๋รังแกอยู่เรื่อยๆ จึงเริ่มหัดมวยจากพี่ชายคนโตตั้งแต่ตอนอายุ 12 ถึงแม้ว่าจะสู้เอาตัวรอดได้ แต่ก็เจ็บตัวอยู่ดี จนกระทั่งอายุ 16 ปี ได้มีโอกาสอ่านหนังสือเกี่ยวกับหมัดมวยที่เขียนโดยอาจารย์เขตร ศรียาภัย แล้วประทับใจ จึงศึกษาประวัติแล้วฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ในตอนที่ตัวเองยังวัยรุ่น แต่อาจารย์เริ่มมีอายุมาก จนกระทั่งครูเล็กอายุ 21 ปี อาจารย์เขตรก็เสียชีวิตลง ทั้งๆ ที่ ครูเล็กยังรู้สึกว่ามีความรู้ทางมวยที่ยังไม่กระจ่างนัก ต่อมามีโอกาสได้พบกับอาจารย์ทองหล่อ ยาและ ซึ่งเป็นลูกศิษย์เอกคนหนึ่งของอาจารย์เขตร ครูเล็กจึงต่อยอดความรู้ที่คั่งค้างอยู่จนหมดสิ้น รวมเวลาที่ครูเล็กเรียนมวยไชยาตั้งแต่อายุ 12-39 ปี รวมเป็นเวลา 27 ปี จึงเริ่มต้นเปิดโรงเรียนสอนมวย ด้วยหวังว่าอยากจะอนุรักษ์ลมหายใจของชาติ...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.positioningmag.com : Added on: 25/5/2555



read more "มวยไชยา เสน่ห์อยู่ที่การป้องกันตัว"




สุชาติ สิรรักษาศักดิ์ นักธุรกิจย่านพระประแดง ขับรถพาลูกชายอายุ 15 ปี และลูกสาววัย 12 ปี มาเรียนมวยไทยที่เจริญทองยิมสัปดาห์ละ 3 ครั้ง POSITIONING ถือโอกาสพูดคุยกับเขาหลังจบการเรียนในช่วงเช้า ด้วยใบหน้าและร่างกายที่เต็มไปด้วยเหงื่อ แต่น้ำเสียงพูดคุยกระตือรือร้นและสนุกสนาน


เขาเล่าว่าเลือกมวยไทยเป็นกิจกรรมหลักสำหรับช่วงปิดเทอมให้กับลูกๆ หาที่เรียนอย่างพิถีพิถัน โดยมีเหตุผลและแรงจูงใจส่วนตัวที่คนไทยส่วนใหญ่ฟังแล้วคงจะเห็นคล้อยตามด้วยเกือบ 100%


“ผมว่ามวยไทยเป็นศิลปะป้องกันตัวที่สมบูรณ์ที่สุดแล้ว และเป็นเหตุผลที่ผมเลือกมวยไทยให้ลูกเรียน เพราะหนึ่ง-มวยไทยเป็นศิลปะประจำชาติ สอง-มีความเป็นธรรมชาติ หมายถึงมันใช้ร่างกายทั้งขา มือ เข่า ศอก มีอานุภาพรุนแรง เรียนมวยไทยนอกจากได้กับตัวเราเอง ยังช่วยรักษาศิลปะให้อยู่คู่กับประเทศไว้ ถ้าไม่มีใครเรียนวันหนึ่งมวยไทยก็คงสูญไปเพราะเด็กไทยมัวไปเรียนศิลปะของชาติอื่น เท่าที่ผมอ่านในหนังสือพบว่าครูมวยต้องไปสอนต่างประเทศ อีกหน่อยคนต่างประเทศเก่งมวยไทยแต่คนไทยจะไม่เก่งเรื่องของตัวเอง” 


ส่วนเหตุผลที่สุชาติเลือกใช้อธิบายให้ลูกๆ มาเรียนมวยไทย เน้นไปที่เรื่องของประโยชน์โดยตรง 


“ตอนผมพาพวกเขาไปเรียนว่ายน้ำผมก็จะมีวิธีอธิบายว่า เวลาเห็นน้ำแล้วเขากลัวไหม ตอนเขาว่ายไม่เป็นเขาก็บอกว่ากลัว พอว่ายเป็นแล้วก็บอกไม่กลัว เขาก็สงสัยว่าทำไมพามาเรียนมวยไทย จริงๆ เขาก็ไม่ได้มีใจรัก ฉันใดก็ฉันนั้น ก็บอกเขาว่าเรียนไว้พอเป็น เกิดวันหนึ่งจำเป็นใช้ขึ้นมาเขาก็จะไม่กลัว ฟังแล้วเขาก็คงเชื่อเราแค่ครึ่งหนึ่ง”


ตอนแรกสุชาติขับรถพาลูกมาเรียนแล้วก็นั่งเฝ้า ครั้งหนึ่งสองชั่วโมง เริ่มเบื่อก็เลยคุยกับครูเป็ดว่าอายุ 50 แบบเขาเรียนได้ไหม เมื่อครูเป็ดยืนยันว่าเรียนได้ เขาก็สมัครแล้วเรียนไปพร้อมกับลูกๆ 


“เอาเรื่องเหมือนกัน ปกติผมออกกำลังว่ายน้ำแต่ไม่มาก ครูเป็ดแซวว่ามาเรียนมวยวันแรกดูหนุ่มขึ้นเลย” 


ก่อนสุชาติและลูกๆ จะมาลงตัวเรียนมวยไทยที่เจริญทอง เขาเคยโทรไปคุยกับค่ายมวยย่านสมุทรปราการ แต่ปรากฏว่า ค่ายมวยที่พบส่วนใหญ่เน้นฝึกเพื่อให้เป็นนักมวย ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของเขา จนมาเจอค่ายของครูเป็ดที่มีคอร์สสำหรับฝึกให้กับคนที่ไม่มีพื้นฐานให้เป็นพื้นฐานมวย แม้แต่เด็กไม่เป็นเลยก็เรียนได้ แต่ไม่เน้นขึ้นชกหรือปั้นเป็นนักมวย 


“เลยตัดสินใจพามาเรียน ไม่ได้มากก็ได้น้อย อย่างไรก็ได้ อย่างน้อยก็ออกกำลังกาย ลูกสาวนี่ให้เรียนก็คิดว่ามีประโยชน์ อย่างน้อยก็เอาไว้ใช้ป้องกันตัวในเบื้องต้น ไม่ได้หวังว่าเขาต้องเก่ง”


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.positioningmag.com : Added on: 25/5/2555




read more "มวยไทย เรียนได้ทั้งครอบครัว"

วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555


ภาพจำนวนเหตุการณ์สูญพันธุ์ครั้งใหญ่ (Peter Arnold, Inc/เนชันนัลจีโอกราฟิก) 


   งานวิจัยใหม่เผยโลกใช้เวลา 10 ล้านปีฟื้นตัวหลังจากการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เมื่อ 250 ล้านปีก่อน ซึ่งสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่หายไปจากโลก เหลือพืชและสัตว์รอดเพียง 10% ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นที่ถกเถียงกันว่า สิ่งมีชีวิตกลับมาอีกครั้งหลังหายนะรุนแรงได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว หรืออย่างช้าๆ 
   หลักฐานล่าสุดสนับสนุนการฟื้นคืนกลับอย่างรวดเร็วของสิ่งมีชีวิตหลังหายนะใหญ่ ซึ่ง PhysOrg.com ระบุว่า เป็นสิ่งที่ประเมินได้จากรายงานวิชาการของ ดร.เฉิน จงเฉียง (Dr.Zhong-Qiang Chen) จากมหาวิทยาลัยภูมิศาสตร์จีน (China University of Geosciences) ในเมืองอู่ฮั่น จีน และ ศ.ไมเคิล เบนตัน (Prof.Michael Benton) จาก (University of Bristol) ในอังกฤษ โดยพวกเขาพบว่าการฟื้นคืนของสิ่งมีชีวิตหลังจากวิกฤตใช้เวลาประมาณ 10 ล้านปี และได้รายงานเรื่องนี้ในวารสารเนเจอร์จีโอไซน์ (Nature Geoscience)
       
       ทั้งนี้ มี 2 เหตุผลชัดๆ ที่เป็นเหตุหน่วงการฟื้นคืนสิ่งมีชีวิต คือ การรุนแรงอย่างที่สุดของวิกฤต และปัจจัยของหายนะที่ยังมีอย่างต่อเนื่องบนโลก หลังเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งแรกบนโลก โดยในช่วงปลายยุควิกฤตเพอร์เมียน (Permian) ซึ่งเป็นช่วงวิกฤตทางชีววิทยาที่กระทบต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกครั้งใหญ่ที่สุดนั้น ยังถูกกระตุ้นด้วยแรงสะเทือนของสิ่งแวดล้อมเชิงกายภาพ อย่างภาวะโลกร้อน ฝนกรด ภาวะน้ำในมหาสมุทรเป็นกรด และภาวะขาดออกซิเจนในมหาสมุทร ซึ่งมากเพียงพอที่จะคร่าสิ่งมีชีวิตทั้งบนบกและในทะเลไปถึง 90%
   


ดร.เฉิน กล่าวว่า มันยากที่จินตนาการได้ว่าสิ่งมีชีวิตจำนวนมากนั้นถูกฆ่าอย่างไร แต่ข้อมูลที่ชัดเจนจากร่องรอยหินทั้งในจีนและที่อื่นๆ ทั่วโลกนั้น บ่งชี้ว่าเหตุการ์ณในอดีตที่เกิดขึ้นนั้นเป็นวิกฤตรุนแรงที่สุดเท่าที่สิ่งมีชีวิตบนโลกเคยเผชิญ 
       
       งานวิจัยล่าสุดนี้แสดงให้เห็นว่าสภาพแวดล้อมที่เหี้ยมโหดนั้นยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง 5-6 ล้านปีหลังเริ่มวิกฤต และยังซ้ำเติมด้วยวิกฤตคาร์บอนและออกซิเจน ภาวะโลกและปัจจัยเลวร้ายอื่นๆ สัตว์บางกลุ่มในทะเล และบนบกฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและเริ่มสร้างระบบนิเวศของตัวเอง แต่ต้องทุกข์ทรมานจากการถดถอยที่ซ้ำเติมมากขึ้น ไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนที่ฟื้นคืนได้จริงๆ ในระยะแรกๆ เพราะระบบนิเวศอย่างถาวรยังไม่ถูกสร้างขึ้น
       
ภาพวาดจำนวนการเข้าครอบครองระบบนิเวศอย่างรวดเร็วของจุลินทรีย์หลังเหตุสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ (John Sibbick/PhysOrg.com)


       ด้าน ศ.เบนตัน ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ด้านบรรพชีวินวิทยาสัตว์มีกระดูกสันหลังจากบริสตอล กล่าวว่า สิ่งมีชีวิตเหมือนจะคืนปกติเมื่อมีวิกฤตใหม่มากระทบและดึงให้สิ่งมีชีวิตถดถอยอีกครั้ง วิกฤตคาร์บอนเกิดขึ้นซ้ำๆ หลายครั้ง และที่สุดปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมกับคืนสู่ปกติอีกครั้งหลังจากผ่านไป 5 ปี หรือราวๆ นั้น
       
       หลังจากวิกฤตทางสิ่งแวดล้อมสิ้นสุดความโหดร้าย ระบบนิเวศอันซับซ้อนจำนวนมากก็อุบัติขึ้น โดยในทะเลนั้นมีกลุ่มสิ่งมีชีวิตใหม่อย่างปูที่สืบต่อมาจากบรรพบุรุษและกุ้งทะเลขนาดใหญ่ รวมถึงสัตว์เลื้อยคลานทางทะเลกลุ่มแรกก็มีเข้ามาให้เห็น และสิ่งมีชีวิตกลุ่มเหล่านี้ก็เริ่มสร้างพื้นฐานสำหรับระบบนิเวศของชีวิตยุคใหม่
       
       “เรามักจะมองเรื่องการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในแง่ลบทั้งหมด แต่ในกรณีนี้สิ่งมีชีวิตฟื้นคืนมาจริงๆ หลังจากผ่านไปหลายล้านปี และสิ่งมีชีวิตกลุ่มใหม่ๆ ก็อุบัติขึ้น เหตุการณ์ดังกล่าวได้ตั้งต้นวิวัฒนาการใหม่อีกครั้ง อย่างไรก็ดี สาเหตุของการคร่าสิ่งมีชีวิต ก็คือ ภาวะโลกร้อน ฝนกรด ภาวะมหาสมุทรเป็นกรด ซึ่งฟังดูคล้ายสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในปัจจุบันอย่างน่าประหลาด บางทีเราน่าจะเรียนรู้บางอย่างจากเหตุการณ์ดึกดำบรรพ์นี้ได้บ้าง” ศ.เบนตัน ให้ความเห็น...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th

read more "รู้ไหมว่า...โลกใช้เวลา 10 ล้านปี ฟื้นจากการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่"

วัวพื้นเมืองที่ถูกเลี้ยงตามวิถีเกษตรชุมชนและปล่อยให้หากินเอง (ศูนย์เครือข่ายการวิจัยด้านเทคโนโลยีเนื้อสัตว์)
   นับเป็นครั้งแรกของวิทยาการด้านอาหารเมื่อนักวิจัยไทยคิดค้นสูตรการหมักแหนมด้วยเชื้อจุลินทรีย์ “โปรไอติก” โดยใช้วัวพันธุ์พื้นเมืองที่มีเลือดวัวนอกไม่เกิน 25% และเลี้ยงดูด้วยวิถีชาวบ้านที่ปล่อยให้วัวหากินเองตามทุ่งหญ้า ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ และคำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์เป็นสำคัญ
       ผลงานวิจัยล่าสุดจากศูนย์เครือข่ายการวิจัยด้านเทคโนโลยีเนื้อสัตว์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ทาง รศ.ดร.จุฑารัตน์ เศรษฐกุล หัวหน้าศูนย์ดังกล่าวให้ความเห็นว่า เราอาจมอง “แหนมโคพื้นเมือง” นี้เป็นอาหารฟังก์ชัน (functional food) ก็ได้ เนื่องจากวิธีการหมักนั้นได้ใช้เชื้อจุลินทรีย์โปรไบโอติก ซึ่งช่วยในเรื่องความปลอดภัยทางด้านอาหาร และยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย
       ทั้งนี้ รศ.ดร.อดิสร เสวตวิวัฒน์ จากคณะอุตสาหกรรมเกาตรและ ผศ.ดร.คมแข พิลาสมบัติ จากคณะเทคโนโลยีการเกษตร สจล.สามารถแยกเชื้อจุลินทรีย์ที่สร้างสาร “แบคเตอไรโอซิน” (bacteriocin) และมีคุณสมบัติเป็น “โปรไบโอติก” (probiotic) จึงได้นำเชื้อดังกล่าวมาใช้หมักแหนมที่ได้จากเนื้อวัวพันธุ์พื้นเมือง 


รศ.ดร.จุฑารัตน์ เศรษฐกุล เริ่มต้นสาธิตการทำแหนมเนื้อวัวพันธุ์พื้นเมือง
       “เชื้อของเราไม่แค่ผลิตแลคติกได้แต่ผลิตไบโอติกด้วย ทำให้การสร้างความเป็นกรดดีขึ้น กำหนดเวลาการเป็นแหนมได้ ซึ่งปกติเวลาหมักแหนมเนื้อวัวนั้นต้องใช้เวลานานมาก ผ่านไป 5 วันยังไม่เป็นแหนม แต่เมื่อเราหมักด้วยเชื้อที่คัดแยกมาได้นี้ทำให้เป็นแหนมได้เร็วขึ้น ผ่านไป 5 วันก็เป็นแหนมแล้ว แต่เรื่องความเป็นกรดยังไม่เป็นที่พอใจนัก เพราะแหนมที่ดีควรมีค่าพีเอช (pH) ประมาณ 4.5 แต่เราทำได้ 4.8-4.9” รศ.ดร.จุฑารัตน์ กล่าว
       
เนื้อวัวที่ใช้เป็นเนื้อล้วนๆ ไม่ใช้เนื้อที่ติดเอ็นหรือมัน แต่จะผสมเอ็นวัวตามทีหลัง 

  ทั้งนี้ ทีมวิจัยได้พิสูจน์ความเป็นโปรไบโอติกของเชื้อจุลินทรีย์ ด้วยการทดลองในห้องปฏิบัติการและจำลองสภาพแวดล้อมภายในหลอดทดลองให้คล้ายกับสภาพแวดล้อมในสำไล้ เพราะจุลินทรีย์ดังกล่าวจะเป็นจุลินทรีย์โปรไบโอติกหรือไม่นั้นต้องทนต่อน้ำย่อยในกระเพาะซึ่งมีความเป็นกรดสูงได้ และยังต้องทนต่อน้ำดีได้ด้วย ซึ่งจากการทดลองพิสูจน์ว่าจุลินทรีย์เหล่านั้นมีชีวิตอยู่ได้
เชื้อจุลินทรีย์โปรไบโอติก
   รศ.ดร.จุฑารัตน์กล่าวว่า จุลินทรีย์โปรไบโอติกช่วยยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ซัลโมเนลลา (Salmonella) ซึ่งก่อโรคในทางเดินอาหารได้ ต่างจากแหนมทั่วไปที่ต้องหมักด้วยเชื้อหลายชนิดและยังตรวจพบเชื้อซัลโมเนลลาด้วย แต่งานวิจัยของศูนย์ใช้เชื้อหมักแหนมเพียง 1 ชนิด โดยทีมวิจัยด้านอาหารได้หมักเชื้อจุลินทรีย์เข้ากับเนื้อวัวที่ไม่มีเอ็นหรือมันติด ซึ่งลักษณะของเนื้อวัวที่มีเส้นใยละเอียด ทำให้แหนมมีเนื้อแน่น แล้วผสมเอ็นจากโคขุนเพื่อให้แหนมมีความหนึบด้วย
         
สาธิตการทำแหนมเนื้อวัวพันธุ์พื้นเมือง

        ส่วนแหล่งผลิตเนื้อวัวนั้นทีมวิจัยใช้เนื้อวัวพันธุ์พื้นเมืองในโครงการวิจัยของศูนย์เครือข่ายการวิจัยด้านเทคโนโลยีเนื้อสัตว์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร สจล.ซึ่งร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานีในการเพาะเลี้ยงวัวพันธุ์พื้นเมืองตามวิถีเกษตรชุมชนและพึ่งพิงธรรมชาติ โดยปล่อยให้วัวตามทุ่งเพื่อหากินหญ้าเอง รวมทั้งควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะ และใช้หลักสวัสดิการสัตว์ (animal welfare) ในการจัดการ
     
อัดเป็นแท่ง
       
ได้แท่งเนื้อวัวสำหรับหมักรอเวลาเป็นแหนม 
ตอนนี้ทีมวิจัยยังไม่มีแผนในการทำตลาดแหนมวัวพันธุ์พื้นเมืองนี้ แต่ประสงค์ที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้แก่เอกชนที่ต้องการนำไปต่อยอด โดยจะนำนวัตกรรมทางด้านอาหารที่ผลิตขึ้นมานี้ไปร่วมจัดแสดงภายในการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเนื้อสัตว์ ครั้งที่ 3 “นวัตกรรมเนื้อและผลิตภัณฑ์สัตว์เนื้อสัตว์เพื่อความปลอดภัยในอาหารและสุขภาพ” ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-22 มิ.ย.55 ณ ห้องฟีนิกซ์ 6 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี...


 ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th



read more "จับ วัวพื้นเมือง มาหมักแหนมด้วยจุลินทรีย์ โปรไบโอติก"

โลกเราทุกวันนี้มันช่างล่อตาล่อใจ มีสิ่งสวยงามให้ชื่นชมอีกมากมายนัก กิเลสหลายอย่างเย้ายวลใจทำให้เรายังอยากมีชีวิตเพื่อชื่นชมสิ่งเหล่านี้ไปอีกนานๆ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากมีชีวิตยืนยาวไปจนแก่จนเฒ่า เรามีกฎเหล็ก 5 ข้อ มาให้คุณได้ปฏิบัติกัน ใครทำแล้วอายุยืนขึ้นอย่าลืมกระซิบบอกคนข้างๆ จะได้ใช้ชีวิตยืนนานไปพร้อมๆ กันนะจ๊ะ

กฎข้อที่ 1 เลิกสูบบุหรี่ อายุยืนขึ้น 10 ปี
       จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค เผยสถิตว่า คนไทยซื้อบุหรี่สูบเดือนละเกือบ 600 บาท ถึงแม้คนทั่วไปจะรู้โทษและพิษภัยของบุหรี่กันดีอยู่แล้ว แต่ปริมาณของผู้สูบกลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปี ผลงานวิจัยชิ้นหนึ่งชี้ว่า ผู้สูบบุหรี่ที่มีอายุระหว่าง 45 - 64 ปี เสี่ยงเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจหรือโรคมะเร็งปอด มากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 3 เท่า ส่วนผู้ที่มีอายุระหว่าง 65 - 84 ปี เสี่ยงชีวิตด้วยโรคดังกล่าวมากกว่าผู้ไม่สูบบุหรี่ 2 เท่า ดังนั้นการเลิกบุหรี่จะช่วยให้คุณอายุยืนขึ้นแถมมีเงินเหลือใช้ เสียทั้งเงินเสียทั้งสุขภาพ และยังทำลายอากาศบริสุทธิ์ของคนรอบข้างอีก เป็นแบบนี้เลิกดีกว่า

 กฎข้อที่ 2 มองโลกในแง่ดี อายุยืนขึ้น 8 ปี
       การมองโลกในแง่ดีจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถึงแม้จะเป็นเรื่องของจิตใจแต่ก็ส่งผลกระทบต่อร่างกาย ผลการวิจัยพบว่า ผู้ที่มองโลกในแง่ดีมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรน้อยกว่าผู้ที่มองโลกในแง่ร้ายถึง 50 % และยังช่วยให้รอดชีวิตจากโรคมะเร็งและโรคหัวใจมากกว่าอีกด้วย

 กฎข้อที่ 3 ไม่กลัวแก่ อายุยืนขึ้น 7.5 ปี
       ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยเยล สหรัฐอเมริกา ซึ่งติดตามศึกษาผู้สูงอายุจำนวน 660 คนพบว่า ผู้ที่สามารถยอมรัรบเรื่องวัยที่สูงขึ้น อายุยืนกว่าผู้ที่วิตกกังวลเกี่ยวกับสังขารที่ร่วงโรยไปของตน 7.5 ปี หนุ่มสาวคนไหนที่กำลังกังวลเรื่องอายุหรือรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า นักวิจัยแนะนำว่า ควรมองหาสิ่งอื่นหรือเป้าหมายใหม่ๆ ในชีวิตบ้าง หางานอดิเรกที่ตัวเองชอบทำ หรือไปเที่ยวในสถานที่ๆ ยังไม่เคยไป ความกังวลเหล่านั้นจะได้ลดน้อยลงไป

กฎข้อที่ 4 นับถือศาสนา อายุยืนขึ้น 7 ปี
       ผลการศึกษาหลายชิ้นพบตรงกันว่า ผู้ที่มีความเชื่อถือศรัทธาในศาสนา ไม่ว่าจะศาสนาใด อายุยืนขึ้น นักวิจัยอธิบายว่า อาจเป็นเพราะผู้ที่เชื่อถือศรัทธาในศาสนา มักไปปฏิบัติศานกิจร่วมกับผู้อื่น การได้พบปะสังสรรค์กับบุคคลอื่นจึงช่วยลดความเครียด ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

กฏข้อที่ 5 ออกกำลังกายวันละ 15 นาที อายุยืนขึ้น 3 ปี
       เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการออกกำลังกายทำให้เราสุขภาพแข็งแรง ผลการวิจัยจากของประเทศใต้หวันพบว่า ผู้ที่ออกกำลังกายระดับปานกลางเพียง 15 นาที ช่วยให้อายุยืนขึ้น 3 ปี การออกกำลังกายเป็นประจำ จะมีส่วนสำคัญในการลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งหลายชนิด และช่วยให้ฮอร์โมนในร่างกายทำงานอย่างเป็นปกติ รวมทั้งช่วยกำจัดสารก่อมะเร็งที่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นการออกกำลังกายจึงช่วยยืดอายุของคุณให้ยืนนานขึ้นนั่นเอง
        นอกจากกฏเหล็กทั้ง 5 ข้อ ที่จะทำให้คุณอายุยืนนานแล้ว การบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้สุขภาพร่างกายของคุณแข็งแรง ดูแลตัวเองวันนี้จะได้ไม่เสียใจภายหลังนะจ๊ะ
    
       ขอบคุณข้อมูลจาก : นิตยสารแพรว

ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th

read more "5 กฎเหล็กต่ออายุให้ยืนยาว"
 

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Blogger templates

Blogroll

Blogger news